‘ลงทุนคุ้มค่า’ เมื่อเลือกใช้เมทัลชีท อะลูมิเนียม 55%
มีการเปรียบเทียบอายุการใช้งานของวัสดุประเภทแผ่นเหล็กเคลือบไว้ที่
- เหล็กเคลือบสังกะสี อายุการใช้งานประมาณ 1 – 2 ปี
- เหล็กเคลือบสังกะสีเคลือบสี อายุการใช้งานประมาณ 10 – 15 ปี
- เหล็กเคลือบอะลูมิเนียม 55% ผสมสังกะสี เคลือบสี อายุการใช้งานมากกว่า 30 ปี
จะเห็นว่า โละหะที่ใช้เคลือบและสีเคลือบที่ดี ที่สามารถต้านทานการกัดกร่อนได้ คือปัจจัยหลักที่ช่วยให้อาคารมีอายุการใช้งานได้นานขึ้น
การกัดกร่อนของสนิม ที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานของหลังคาเหล็กเคลือบหรือเมทัลชีท
โดยตัวแปรสำคัญที่มีผลต่ออายุการใช้งานของเมทัลชีทก็คือ ‘การกัดกร่อนของสนิม’ จะเห็นได้ว่าสารเคลือบโลหะของเมทัลชีทแต่ละประเภทที่ถูกพัฒนาขึ้น ก็มีไว้เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้เป็นหลัก ซึ่งจากการเปรียบเทียบการเกิดสนิมของโลหะประเภทต่างๆ เมื่อเทียบจากค่าการนำไฟฟ้าและอัตราการกัดกร่อนพบว่า เมื่อมีอากาศและความชื้นเป็นตัวแปรย่อมทำให้เกิดการกัดกร่อนของโลหะ หรือเรียกง่ายๆ ว่าเกิดสนิม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการผุพังของตัววัสดุ
การใช้แผ่นเหล็กเพียงอย่างเดียวความสูญเสียย่อมเกิดกับเนื้อของเหล็กโดยตรง แต่เมื่อนำโลหะอื่นที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่าเหล็กเช่นสังกะสีมาเคลือบผิวไว้ เมื่อเกิดปฏิกิริยาการกัดกร่อน สังกะสีจะถูกกัดกร่อนแทนเหล็กและยังช่วยป้องกันผิวของแผ่นเหล็กไม่ให้เกิดปฏิกิริยากับสิ่งแวดล้อมด้วย
เมทัลชีทอะลูมิเนียม 55% ผสมสังกะสี ทนการกัดกร่อนได้ดีกว่าสังกะสีถึง 4 เท่า
โดยนวัตกรรมการเคลือบสี ได้มีพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการกัดกร่อน ทำให้ทางบลูสโป ได้มีการค้นพบนวัตกรรม ที่นำมาสู่ผลิตภัณฑ์เมทัลชีทที่ใช้โลหะเคลือบอะลูมิเนียม 55% ผสมสังกะสี โดยจากการทดลองพบว่าสารเคลือบอะลูมิเนียมที่เพิ่มเข้าไปนั้นเป็นเหมือนชั้นฟิล์มที่ช่วยปกป้องผิวของแผ่นวัสดุจากการเกิดสนิม ทำให้สามารถทนการกัดกร่อนได้ดีกว่าสังกะสีถึง 4 เท่า
จากตัวอย่างการทดสอบคุณภาพวัสดุ จะเห็นได้ว่าเมื่อลองเทียบแผ่นโลหะเคลือบสังกะสี (GI) กับแผ่นโลหะเคลือบอะลูมิเนียมสังกะสี (GL หรือ Al-Zn) ในอัตราส่วน 4%, 7% และ 55% ตามลำดับ ด้วยระยะเวลาที่ 17 ปีเท่ากัน แผ่นโลหะเคลือบอะลูมิเนียมสังกะสีในอัตราส่วนที่ 55% ยังมีสภาพของวัสดุใกล้เคียงเดิม ในขณะที่แผ่นอื่นๆ ถูกสนิมกัดกร่อนเห็นความผุพังชัดเจน
‘ความคุ้มค่าระยะยาว’ คือ ‘การลดปัญหาระยะยาว’
ที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าอีกสิ่งของ ‘ความคุ้มค่าระยะยาว’ ก็คือ ‘การลดปัญหาระยะยาว’ ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อความมั่นใจเรื่องความหนาของชั้นเคลือบ คุณภาพของวัสดุ และการจัดการในอนาคต การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่เชื่อถือได้ถือเป็นทางเลือกที่ดี เช่นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของบลูสโคป ยี่ห้อหรือรุ่นที่ได้รับมาตราฐาน มอก. 2228 -2559 และ มอก.2753-2559 รวมถึงควบคุมการผลิตผ่านมาตรฐานจากต่างประเทศ อาทิ AS1365-1996 ของออสเตรเลีย, ASTM924/A924M-07
สำหรับเหล็กแผ่นเคลือบอะลูมิเนียมผสมสังกะสีโดยกระบวนการจุ่มร้อนของสหรัฐอเมริกา และ JIS 3321-2012 มาตรฐานข้อกำหนดสำหรับเหล็กแผ่นโดยกระบวนการจุ่มร้อนของประเทศญี่ปุ่น การันตีคุณภาพการผลิต มีระยะเวลาและบริการในการรับประกันการผุกร่อนและรับประกันสีซีดจาง มีสกรีนใต้แผ่นระบุความหนากับค่าของชั้นเคลือบที่ถูกต้องแสดงไว้ชัดเจน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่จะช่วยให้การจัดการในระหว่างการก่อสร้างหรือหลังการก่อสร้างมีความง่ายขึ้น ลดความกังวลที่จะตามมา และผลที่ได้ก็คือ ‘งานที่ดี’ และ ‘ความสบายใจ’ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ ‘คุ้มค่า’ กับการลงทุนในโครงการที่เกิดขึ้น